อาร์เจนตินาเผชิญภัยแล้งร้ายแรงที่สุดในรอบ 60 ปี พืชผลทางการเกษตร-ปศุสัตว์เสียหายหนัก นักวิเคราะห์คาด มูลค่าการส่งออกของประเทศจะหายไป 8 พันล้านดอลลาร์
สำนักข่าว Reuter รายงานว่า ประเทศอาร์เจนตินากำลังประสบภัยแล้งที่เลวร้ายที่สุดในรอบ 60 ปี ส่งผลให้พืชผลทางการเกษตรเสียหายหนัก เกษตรกรต้องชะลอการปลูกพืช และปศุสัตว์ล้มตายเป็นจำนวนมาก โดยวิกฤติการณ์ดังกล่าวก็ส่งผลกระทบต่อตลาดอาหารทั่วโลก เนื่องจากความแห้งแล้งนั้นไปบีบบังคับให้เกษตรกรต้องลดจำนวนการเก็บเกี่ยว จึงส่งผลกระทบต่อเสบียงธัญพืช ซึ่งอาร์เจนตินานั้นเป็นผู้ส่งออกน้ำมันถั่วเหลืองและอาหารจากถั่วเหลืองอันดับ 1 ของโลก รวมถึงยังเป็นผู้ผลิตข้าวโพด ข้าวสาลี และเนื้อวัวรายสำคัญของโลกอีกด้วย
ปัญหาดังกล่าวนี้กระทบต่อความสามารถของอาร์เจนตินาในการหาเงินทุนสำรองสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐที่จำเป็นมาก ซึ่งอาจส่งผลต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจที่มีความเปราะบางของประเทศ และทำให้รัฐบาลไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนดการท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นและขาดดุลการคลังอย่างมาก โดย Julio Calzada หัวหน้าฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจของตลาดซื้อขายธัญพืชในเมือง Rosario กล่าวว่า มูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจจากปัญหาภัยแล้งต่อผู้ผลิตอาจอยู่ที่ประมาณ 10.5 พันล้านดอลลาร์ เนื่องจากมูลค่าการส่งออกอาร์เจนตินาจะลดลง โดยเขาระบุว่า อาร์เจนตินาจะสูญเสียมูลค่าการส่งออกประมาณ 8 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งการสูญเสียมูลค่าการส่งออกดังกล่าวจะทำให้รัฐบาลอาร์เจนตินาเสียรายได้ประมาณ 3.5 พันล้านดอลลาร์
ด้าน Cristian Russo หัวหน้าฝ่ายการประเมินผลผลิตทางการเกษตรของตลาดซื้อขายธัญพืชในเมือง Rosario กล่าวว่า ปัญหาภัยแล้งนี้ทำให้เกิดวิกฤตการณ์ซ้ำซ้อน ไม่เพียงเท่านั้น เขายังระบุอีกว่า ผลกระทบของภัยแล้งนี้อาจเลวร้ายลงอีก ซึ่งอาจทำให้แนวโน้มการเก็บเกี่ยวถั่วเหลืองและข้าวโพดลงอีกมาก โดยการเก็บเกี่ยวข้าวสาลีได้ลดลงไปครึ่งหนึ่งแล้ว นอกจากนี้ Rosario ยังเสริมอีกว่า สถานการณ์ด้านการเก็บเกี่ยวนั้นกำลังจะเลวร้ายที่สุดในรอบ 20 ปี อีกทั้งเขายังกล่าวว่า “วิกฤตภัยแล้งนี้จะเป็นวิกฤตที่เราไม่เคยเจอมาก่อน ซึ่งหมายความว่า ผู้ผลิตหลายรายกำลังจะล้มละลาย”
เจ้าของฟาร์มปศุสัตว์ในเมือง Ciguena อย่าง Andrés Betiger ได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Reuters ว่า “ทุกอย่างมีแต่ความย่ำแย่ ผลผลิตเราก็มีไม่มาก อีกทั้งเราไม่มีทุนสำรองที่จะหยุดพักได้สัก 4 หรือ 5 วันเลย เราต้องออกไปตักน้ำให้วัวดื่มแทบจะทุกวัน” นอกจากนี้ Betiger ยังเสริมอีกว่า “ทุกอย่างที่เกิดขึ้นนี้ทำให้ผมเจ็บปวดและหวาดกลัว…มันเริ่มกลายเป็นความไม่ยั่งยืนทั้งทางการเงินและทางร่างกายแล้ว”
ขณะที่ Gustavo Giailevra เจ้าของฟาร์มปศุสัตว์อีกราย ประสบกับความยากลำบากในการทำมาหากินมาโดยตลอดในปีที่ผ่านมา โดย 1 ใน 3 ของวัวที่เขาเลี้ยงไว้ทั้งหมด 900 ตัวได้ตายไปแล้ว มิหนำซ้ำเขายังต้องสูญเสียผลผลิตฝ้ายและข้าวโพดที่เขาปลูกเป็นจำนวนมากด้วยเนื่องจากฝนไม่ตกเป็นเวลานาน โดยภัยแล้งดังกล่าวยังทำให้อ่างเก็บน้ำของเขาแห้งเหือดหมด ด้วยเหตุนี้ เขาจึงต้องนำรถบรรทุกไปตักน้ำในปริมาณที่เขาพอจะทำได้ ไม่เพียงเท่านั้น เขาเผยอีกว่า “การได้ยินเสียงลูกวัวร้องจนตายเป็นสิ่งที่แย่มาก”
เกษตรกรหลายคนในทุ่งเลี้ยงสัตว์ในรัฐ Santa Fe อาร์เจนตินา ยังกล่าวว่า พวกเขาสูญเสียข้าวโพด ข้าวสาลี และถั่วเหลืองที่หว่านไว้ก่อนล่วงหน้าก่อนฤดูเพาะปลูก ทำให้พวกเขาต้องกอบโกยรายได้กลับคืนมาด้วยการหันไปปลูกฝ้ายแทน เนื่องจากเป็นพืชที่ทนต่อความแห้งแล้งได้ดีกว่าพืชชนิดอื่น ๆ ที่พวกเขาเคยปลูก
ผู้เขียน ธีราภรณ์ สินธุสิงห์
บรรณาธิการ เขมชาติ เจิมทอง