แบบสำรวจว่าด้วยความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางการเงินของสหรัฐฯ ที่จัดทำโดยธนาคารกลางนิวยอร์กชี้ให้เห็นว่า คริปโตได้รับการพูดถึงในฐานะความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางการเงินน้อยกว่าประเด็นอื่น ๆ
ถึงแม้ว่าผู้สนับสนุนระบบการเงินแบบดั้งเดิมจะยังมองว่า Bitcoin (BTC) และระบบนิเวศคริปโตเป็นความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางการเงิน แต่แบบสำรวจในรายงานเสถียรภาพทางการเงินที่เผยแพร่โดยธนาคารกลางสหรัฐ (Federal Reserve System) กลับเผยให้เห็นถึง 11 ปัจจัยเสี่ยงที่อาจจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในปีนี้มากกว่าคริปโต
โดยธนาคารกลางนิวยอร์ก (The Federal Reserve Bank of New York) ซึ่งเป็นหนึ่งในธนาคารกลางสหรัฐ 12 แห่ง ได้จัดทำแบบสำรวจดังกล่าว และพบว่า ความเสี่ยงที่ได้รับการพูดถึงมากที่สุดว่าอาจจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในลำดับแรก ๆ คือ ความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ การถอนการลงทุนของต่างชาติ โรคระบาด COVID-19 และราคาพลังงานที่สูงขึ้น
ส่วนสกุลเงินคริปโตนั้นเป็นความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ต่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ได้รับการพูดถึงมากที่สุดเป็นลำดับที่ 12 จากทั้งหมด 14 อันดับ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า นักลงทุนมีทัศนคติต่อสกุลเงินคริปโตที่เปลี่ยนไปเนื่องจากบรรดาผู้ประกอบการด้านคริปโตได้ให้ความรู้เกี่ยวกับสกุลเงินคริปโตต่อคนทั่วไปอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ทางธนาคารกลางสหรัฐก็ยังมีจุดยืนที่ไม่เป็นมิตรต่อสกุลเงินคริปโตอยู่ดีเมื่อประเมินความเสี่ยงจากการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทนี้ โดยระบุในรายงานดังกล่าวว่า สกุลเงินคริปโตบางสกุล เช่น Bitcoin, Ether (ETH), BNB, Cardano (ADA) และ XRP มีมูลค่าลดลงราว 69% จากจุดสูงสุดในเดือนพฤศจิกายนของปีที่แล้ว พร้อมกับเสริมว่า “การเก็งกำไรและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ดูจะเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของราคาสินทรัพย์คริปโต ซึ่งมีความผันผวนอย่างหนักในช่วงไม่กี่ปีมานี้”
ไม่เพียงเท่านั้น ธนาคารกลางสหรัฐยังกล่าวถึงการล่มสลายของระบบนิเวศ Terra ด้วย โดยเน้นย้ำว่า หลายบริษัทที่เคยเข้าไปลงทุนใน TerraUSD (UST) ก็ประสบกับปัญหาทางการเงิน ซึ่งบางครั้งก็นำไปสู่การล้มละลายในท้ายที่สุด
ผู้เขียน เขมชาติ เจิมทอง
บรรณาธิการ สิทธิพงศ์ จารุประทีปกุล